ล้อรถได้เคลื่อนจากด่านสะพานมิตรภาพไทยลาว เพื่อไปสู่วังเวียงซึ่งเป็นจุดหมายแรกในการเดินทางครั้งนี้ แต่ก่อนที่จะเดินทางเต็มรูปแบบ ก็ต้องแวะเติมอาหารใส่ท้องก่อนเนื่องจากใกล้เที่ยงเต็มที ร้านแรกที่เราแวะเป็นร้านฮาหามไท ชื่อว่าร้านพิภุม (อ่านว่าร้านอาหารไทย ชื่อว่าร้านพิกุล)  ซึ่งเป็นตึกแถว 3 ชั้นในเวียงจันทน์  ภายในร้านกั้นส่วนหนึ่งเป็นห้องแอร์  อาหารเป็นข้าวราดแกง และตามสั่ง มื้อนี้ประกอบด้วย ผัดผักรวมมิตร ไข่เจียว กระดูกหมูทอดกระเทียม แกงจืด ซึ่งเป็นกับข้าวที่สั่งทำใหม่ๆ เนื่องจากไม่มั่นใจ ในความสะอาด  รสชาติคล้ายกับบ้านเรามากแต่จะมีรสชาสของผงชูรสซึ่งคนลาวเรียกว่าแป้งนันำในอาหารทุกชนิด ส่วนโต๊ะอื่นสั่งต้มยำกุ้ง ซึ่งแตกต่างจากบ้านเราคือใส่สับประรดที่มีรสหวานด้วย แต่น้ำของต้มยำ ไม่มีรสชาส ของสับประรด แสดงว่าไม่ได้นำสับประรดลงไปต้มด้วย ซึ่งก็อร่อยดี มาทราบราคาทีหลังว่าแพงมา ประมาณ 2000 บาทสำหรับมื้อนี้

                                             เมื่อกินเสร็จก็เดินรอหัวหน้าทัวร์ซึ่งไปแลกเงินกีบ อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 2535 กีบเท่ากับ 5 บาท   บริเวณแถวร้านอาหารเห็นป้ายรณรงค์ป้องกัน ไข้เลือดออกเนื่องจากช่วงนี้ฝนตกชุก  เขียนไว้ว่า " ถ้าเป็มไ2้, สิงใสไ2้เลิ9ด99ภ ให้ไปพิบแพด ด่วม" (อ่านว่าถ้าเป็นไข้ สงสัยไข้เลือดออก ให้ไปพบแพทย์ด่วน)  และมีธนาคารของ ไทยตั้งอยู่บริเวณหัวมุม คือ "ทะมาถามทะหามไท" (อ่านว่าธนาคารทหารไทย) เดินถัดไปหน่อยก็จะพบร้านขาย VCD ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศิลปินไทย มีทั้งแบบ Audio, Karaoke, MP3 ซึ่งเป็น copy มาตรงๆ และนำมารวมฮิตกันเองในลาว สนนราคาก็ประมาณ 20-30 บาทเท่านั้นแต่ไม่มีกล่องใส่ นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์ฝรั่ง ไทย จีนต่างๆ  สนนราคาก็อยู่ที่ 60 บาท 

                                           เมื่อทุกคนอิ่มกันพร้อมหน้า ล้อเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้งในเวลาประมาณ 13.30 น. ผ่านไปได้ สามชั่วโมงเศษ พร้อมกับความเมื่อยล้า พวกเราก็ได้สัมผัส กับทิวทัศน์ของภูเขาที่สวยงามท้องฟ้าสีคราม ตัดกับเมฆขาวที่ลอยอยู่เหนือภูเขาสีเขียวของป่า ที่ยังคงความสมบูรณ์อยู่ ทำให้ทุกคนอดใจไม่ไหว ต้องลงไปยืดเส้นยืดสายและเก็บภาพเป็นที่ระลึกกลางถนนอย่างสนุกสนาน 

                              

                                    รถวิ่งไปได้สักพักก็ถึงที่พัก ชื่อว่า อาไฮ่ ชั้นละประมาณ 10 ห้อง โดยแบ่งเป็น 2 ข้าง ข้างละ 5 ห้อง ความกว้างของห้องประมาณ 30 ตารางเมตร  มีหน้าต่าง 1 บาน   มีเตียงคู่ 1 เตียง ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว 1 ผืน พัดลมหนึ่งตัว และห้องน้ำในตัว ซึ่งราคาไม่น่าจะเกิน 250 บาทต่อคืน  

      หลังจากเก็บสัมภาระเข้าที่พักเป็นที่เรียบร้อย หัวหน้าทัวร์ก็นำพวกเราไปสู่ตลาดวังเวียง ซึ่งจะมีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง ได้แก่ ล่องห่วงยางในแม่น้ำโขง ภายเรือแคนนู นั่งเรือหางยาวชมความงาม ของแม่น้ำโขง ขี่จักรยานชมเมือง หรือเดินเล่น แล้วแต่ใจรัก ในกลุ่มของเรามี 5 ท่านที่เลือกล่องห่วงยาง ซึ่งเป็นยางในของรถ 10 ล้อ ขนาดใหญ่ มีชูชีพให้ใส่ โดยจะมีรถนำไปปล่อยบริเวณต้นน้ำซึ่งอยู่เลยตลาดออกไป ใช้เวลาล่องประมาณ 45 นาที สนนราคาอยู่ที่ 200 บาท   มี 2 ท่านที่เลือกนั่งเรือหางยาวชมความงาม ของแม่น้ำโขง ใช้เวลา ประมาณ 30 นาที  ส่วนที่เหลือสมัครใจเดินชมตลาด  ซึ่งถัดจากตลาดไปเพียงนิดเดียวจะเป็นโรงแรมน้ำ 291  ด้านหน้าโรงแรมเป็นแม่น้ำโขง ฝั่งตรงข้ามมีภูเขา ซึ่งตัด กับพระอาทิตย์ที่กำลังจะตก เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมาก ด้านข้างมีท่าน้ำซึ่งคนที่จะล่องห่วงยาง หรือภายเรือแคนนู ูจะต้องมาขึ้นที่ที่

ี้              

 

                          ส่วนพวกเราเลือกที่จะเดินเล่นในตลาดซึ่งเป็นตลาดเหมือนชนบทบ้านเรามีขายทั้งอาหารสด เช่น เนื้อหมู เนื้อควาย ผลไม้ต่างๆ เช่น ละมุด สับประรส มะม่วง ทุเรียน ผักต่างๆ เช่น ยอดฟักแม้ว ผักหอม ผักน้ำซึ่งไม่เคยเห็นในบ้านเรา พริก เครื่องเทศต่างๆ ซึ่งดูแล้วไม่ต่างจากบ้านเรานัก เดินไปเดินรู้สึกหิว จึงจ้องมอง หาของกินเพื่อจะลองท้อง ก่อนอาหารเย็นเห็นรถโรตีเข็นผ่านมา ดูท่าทางไม่เลว เพราะป้ายที่เขียนมีลายมือเขียนไว้ หลายภาษา แต่ที่สำคัญคือภาษาไทยเขียนไว้ว่า "โรตีคนนี้ทำอร่อย" ก็เลยต้องลองสักหน่อยตามธรรมดาของคนชอบลอง ลักษณะโรตีก็เหมือนกับบ้านเราจะมีไส้กล้วย กับไข่ หรือใส่ไมโล   ใส่ชอคโกแลต สนนราคาอยู่ที่ 5000 กีบ เมื่อได้ลองลิ้มขณะร้อนๆ รสชาสก็อร่อยดีตามป้ายที่เขียน คุยไปคุยมาได้ความว่าคนขายชื่อบุญยง เป็นชาวลาว ได้ร่ำเรียนวิชามาจากแขกในราคาชั่วโมง 8000 บาท ใช้เวลาเรียน ชั่วโมงครึ่ง ตกเป็นเงิน 12000 บาท เมื่อ 8 ปีที่แล้ว  ซึ่งฟังแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าใดนัก นายบุญยงบอกว่าได้สอนคนไป  200-300 คน แล้ว ซึ่งก็คุ้มกับค่าเรียนที่เสียไป แต่เท่าที่เราสังเกตุเห็นมีขายโรตีกันอยู่ประมาณ 3-4 เจ้าเท่านั้นเอง

สูตรโรตีนายบุญยง   แป้งตราว่าว   น้ำมันพืช ไข่ไก่  นมสด  เนยเหลืองหวาน  น้ำตาล นำมาผสมกันแล้วนวดให้เข้ากัน ปิดไว้ไม่ให้อากาศเข้า ทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมงจึงนำมาปั้นเป็นก้อนๆ

 

          

                  ถึงเวลาอาหารเย็น เรากินอาหารเย็นกันบริเวณตลาดหน้าสโมสร ดอกปีกไก่ (สมาคมแบดมินตัน) อาหารมื้อนี้ประกอบไปด้วยปลาน้ำโขงเป็นหลัก ซึ่งที่ประเทศลาวจะมี ปลาเพียงสองประเภทเท่านั้น คือปลาเกล็ด ก็คือปลาที่มีเกล็ด กับปลาหนัง ก็คือปลาไม่มีเกล็ดนั่นเอง ซึ่งมื้อนี้มีทั้งปลาเกล็ดทอด ปลาหนังต้มยำ  และจานเด็ดคือเนื้อน้องกวาง หรือเนื้อเก้งนั่นเอง เมื่อมีกับแกล้มชั้นดีสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือเบยลาวหรือเบียร์ลาวนั่นเอง รสชาดค่อนค้างออ่นสู้เบียร์สิงห์บ้านเราไม่ได้

                   หลังอาหารค่ำก็กลับที่พัก อาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเพื่อไปลุยราตรีต่อ จุดหมายปลายทางคือ ดิสโก้เทคที่หรูที่สุดของวังเวียง ออกจากบ้านพักเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ ใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาที  ดิสโก้เทคตั้งอยู่บริแถวสนานบินเฮลิคอปเตอร์ พอไปถึงก็ถึงกับตะลึงกับเทคอันทันสมัย ซึ่งเป็นบ้านที่มุงหลังคาจาก ฝาบ้านทำจากไม้ไผ่ขัด ด้านหน้าของฝาขึ้งด้วยผ้าขาวผืนใหญ่ ประดับประดาด้วยไฟกระพริบสีที่เป็นเส้นๆ พอเดินเข้าไปด้านในจะมืดมาก ไม่เปิดไฟ จะมีก็ตรงบริเวณที่มีวงดนตรีเล่นอยู่เท่านั้น วงดนตรีก็เป็นวงคล้ายวงสติงบ้านเราสมัยก่อน มีโมษกซึ่งพูดไปก็หัวเราะไปเหมือนโมษกงานวัดบ้านเรา ด้านหน้าวงดนตรีจะเป็นลานว่างซึ่งเป็นลานสำหรับไว้เต้นนั่นเอง ถัดเข้าจากลานจะเป็นโต๊ะที่นั่งซึ่งเป็นโต๊ะไม้ธรรมดา เก้าอี้พลาสติก พื้นมีน้ำเจิ่งนอง แถวอบอวนไปด้วยกลิ่นฉี่  เพลงที่เล่นมีทั้งเพลงเพื่อชีวิตของไทย และเพลงลูกทุ่งสมัยเก่าของไทย ซึ่งฝีมือนับว่ายังตามหลังวงดนตรีไทยอยู่หลายขุม สำหรับค่าดริ้งค์ไม่ว่าน้ำอัดลม หรือเบียร์ก็ราคาเดียวกันคือขวดละ 50 บาท นั่งไปได้สักพักก็มีหนุ่มสาวลาวคู่หนึ่งเข้ามา และต่อด้วยการเต้นรำของคนลาว 5-6 คน ซึ่งคิดว่าเป็นคนในร้านนั้นเอง จังหวะที่เต้นจะเต้นเหมือนกันหมด คล้ายๆลีลาสบ้านเราสมัยเก่า พอสักพักคนไทยก็เริ่มทนกลิ่นฉี่ไม่ไหว ออกไปเต้นกัน ตามจังหวะของเราเอง ซึ่งเพลงที่เราขอส่วนใหญ่เป็นของคาราบาว ซึ่งเล่นได้เพียง 2-3 เพลงก็หมดมุขเพราะไม่ได้ซ้อม จากนั้นอีกสักพักกลุ่มวัยรุ่นลาวประมาณ 8 คนก็เข้ามา ซึ่งเราก็นั่งรอเพื่อดูเสตป แต่ก็ไม่ได้เห็นจนถึงเวลาประมาณ  4 ทุ่มกว่าๆ จึงต้องขอตัวกลับไปนอนก่อน ....

                          เทคลาว   เทคลาว

                                                                                         จากวังเวียงสู่หลวงพะบาง....

Mail to :  Web Master

ี้